นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (TISCO) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ไตรมาส 4/2566 มีกำไรสุทธิ 1,782 ล้านบาท ลดลง 23 ล้านบาท คิดเป็น -1 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,805 ล้านบาท สำหรับงวดปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,224 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อที่ขยายตัวถึง 7.2% ในกลุ่มสินเชื่อบรรษัทขนาดใหญ่ และสินเชื่อรายย่อยในกลุ่มธุรกิจจำนำทะเบียนผ่านช่องทาง “สมหวัง เงินสั่งได้” ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.6% แม้ปีที่ผ่านมา ต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 93.9% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในตลาด และการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ต่อปี
ธนาคารยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 22.3% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.9% และ 3.5% ตามลำดับ
นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า ทิสโก้ยังคงพยายามรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในงวดปี 2566 ในระดับสูงสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าช่วงที่ผ่านมา เพราะเป็นหัวใจสำคัญไม่อยากให้เกิดความผันผวนในความคาดหวัง ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) จะมีการพิจารณาเรื่องเงินปันผลในเดือนก.พ.2567 ก่อนนำเสนอในที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนเม.ย.2567 มองว่า กำไรทิสโก้ปี 2566 ที่กว่า 7,000 ล้านบาท เป็นการเติบโตที่ดีภายใต้ความท้าทายที่ผ่านมา
นอกจากนี้เพิ่มเรือธงธุรกิจในการสร้างรายได้รวมเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าปีนี้เติบโตที่ระดับ 0-10% สำหรับเรือธง ได้แก่ ธุรกิจสมหวัง เงินสั่งได้ ธุรกิจลูกค้ากลุ่มเวลล์ พร้อมกับเพิ่มเรื่องธงใหม่ คือ ธุรกิจช่องทางการขายประกันผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) ปีนี้จะหาพาร์ตเนอร์ธุรกิจประกันใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น ให้ตอบโจทย์ลูกค้าให้ครบมากขึ้น
ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (ค่าฟี) ปีนี้มีโอกาสพลิกกลับมาเป็นบวก หากตลาดทุนไทยกลับมาเติบโตได้ สำหรับแผนขยายสาขาสมหวังฯ ปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มอีก 200 สาขา ส่งผลให้ทั้งปี 2567 มีสาขาทั้งสิ้น 850 สาขา การขยายสาขาดังกล่าวมีความจำเป็นในขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัด ขณะที่กำไรของธุรกิจสมหวังฯ ยังเป็นเทรนด์ขาขึ้น โดยปี 2566 ทำกำไรให้กับกลุ่มทิสโก้ได้มากกว่า 20% เมื่อเทียบกับพอร์ตเช่าซื้อที่ช่วงปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลง แต่ทิสโก้ก็ยังทำผลกำไรได้ดี
นายศักดิ์ชัย กล่าวว่า ทิสโก้ตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้โตตามเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 3-4% โดยวางเป้าหมายสินเชื่อรวมเติบโตที่ 0-10% ขณะที่ปี 2566 ทิสโก้ตั้งเป้าหมายสินเชื่อที่ 5-10% สิ้นปีทำได้จริง 7% กว่า ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราบได้ (NPL) ปีนี้วางเป้าหมายไม่เกิน 2.5-2.75% จากการมุ่งขยายสินเชื่อกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูง (สินเชื่อกลุ่มไฮยีลด์) มากขึ้น คำพูดจาก pg เว็บตรง
โดย NPL สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 2.25% เรื่องการตั้งสำรองหนี้เสีย มองว่า ทิศทางค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นสู่ภาวะปกติ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นไป 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ระบาดโควิด-19 ทิสโก้มีสำรองฯ ส่วนเกินสูงถึงระดับ 250% ด้านส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) มองว่า ปีนี้มีโอกาสลดลงเฉลี่ย 0.10% เนื่องจากต้นทุนทางการเงิน หากบริหารต้นทุนทางการเงินได้ดี ช่วยให้ NIM ของธนาคารรักษาที่ระดับดีได้
ทั้งนี้ ปีนี้ทิสโก้เน้นการเติบโตในกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกันเป็นหลัก คือ สินเชื่อจำนำทะเบียน ในธุรกิจสมหวัง และรักษาตำแหน่งทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ เน้นกลุ่มสินเชื่อรถมือสอง สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ และสนับสนุนสินเชื่อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ควบคู่กับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมยังเห็นโอกาสการเติบโตในสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โรงไฟฟ้า และพลังงานทางเลือก